ชื่อ
วัดสุทัศนเทพวราราม มีนามปรากฏนับแต่อดีตถึงปัจจุบันนี้หลายนามด้วยกัน คือ วัดพระใหญ่ วัดพระโต วัดเสาชิงช้า วัดมหาสุทธาวาศ วัดสุทัศนเทพธารามและวัดสุทัศนเทพวราราม
วัดสุทัศนเทพวรารามเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ในท้องที่ตำบลวัดราชบพิธ เลขที่ ๑๔๖ ริมถนนตีทองและถนนบำรุงเมือง หน้าวัดออกทางถนนอุณากรรณ อำเภอพระนคร กรุงเทพมหานคร
กำหนดเขตและอุปจาร เขตวิสุงคามสีมา โดยกว้าง ๔๐ เมตร (๑ เส้น) โดยยาว ๙๐.๕ เมตร (๒ เส้น ๕ วา ๑ ศอก) ส่วนอุปจารของวัดโดยรอบ ทิศตะวันออกมีกำแพงเป็นเขตยาวไปตามถนนอุณากรรณ ตั้งแต่ถนนบำรุงเมืองจนสุดตึกแถวของพระคลังข้างที่ ๓๔๖ เมตร (๘ เส้น ๑๓ วา) ทิศใต้ติดตึกแถวพระคลังข้างที่ยาวไปตามถนนสระสรง ๑๓๐ เมตร (๓ เส้น ๕ วา) ทิศตะวันตกมีกำแพงเป็นเขตยาวไปตามถนนตีทอง ๒๔๖ เมตร (๘ เส้น ๑๓ วา) ทิศเหนือมีกำแพงเป็นเขตติดกับถนนบำรุงเมือง (เสาชิงช้า) ๑๒๗ เมตร (๓ เส้น ๓ วา ๓ ศอก) แบ่งออกเป็น ๒ เขต มีกำแพงกั้นกลาง ด้านเหนือเรียกว่า “พุทธาวาส” ด้านใต้เรียกว่า “สังฆาวาส” (ปัจจุบันมีเนื้อที่ตั้งวัด ๒๕ ไร่ ๒ งาน)
สภาพแวดล้อม ตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพมหานคร มีถนนเลียบกำแพงวัด ๓ ด้าน แวดล้อมด้วยสถานที่ราชการและอาคารพาณิชย์ ได้แก่
ทิศเหนือ ติดถนนบำรุงเมืองและศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร และเทวสถาน (โบสถ์พราหมณ์)
ทิศตะวันออก ติดถนนอุณากรรณและเรือนจำคลองเปรมเดิม (สวนรมณีนาถ)
ทิศตะวันตก ติดถนนตีทองและอาคารพาณิชย์
ทิศใต้ ติดอาคารพาณิชย์
วัดสุทัศนเทพวราราม ได้รับการสถาปนาขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ การสถาปนาวัดในยุคนี้นับว่าอยู่ในระยะเวลาอันสั้น เพราะเป็นช่วงปลายรัชสมัย ปรากฏในเอกสารสำคัญเรื่องการอัญเชิญพระศรีศากยมุนี จากเมืองสุโขทัยเพื่อประดิษฐานเป็นพระประธานในพระวิหารหลวง เอกสารแสดงว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 1 ทรงพระประชวรหนัก ในขณะเสด็จด้วยพระบาทเปล่า ตามขบวนแห่พระ ถึงขั้นเซ เจ้าฟ้ากรมขุนกษัตราทรงรับพระองค์ไว้ ครั้นยกพระขึ้นประดิษฐาน แล้วก็ออกพระโอษฐ์เป็นที่สุดเพียงได้ยกพระขึ้นถึงที่สิ้นธุระแล้วเท่านั้น (จดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี (พ.ศ. 2310 – 2381) และพระราชวิจารณ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, 2526, น. 26, อ้างถึงใน จิรศักดิ์ แต่งเจนกิจ, 2541, น. 13) หลังจากประดิษฐานพระศรีศากยมุนีเสร็จแล้วไม่นาน ก็ประชวรหนักแล้วสวรรคตในกาลต่อมา ดังนั้น จึงไม่ปรากฏเอกสารหรือหลักฐานที่แสดงแนวพระราชดำริในการสถาปนา ทราบเพียงทรงพระราชทานนามว่า มหาสุทธาวาส อันเป็นชื่อของพรหมโลกชั้นสูงสุดในบรรดาพรหมโลก 16 ชั้น ทำให้พอสันนิษฐานได้ว่า ทรงประสงค์ให้วัดแห่งนี้มีฐานะอุปมาเหมือนพรหมโลกชั้นสุทธาวาสเท่านั้นเอง แต่งานสถาปัตยกรรมที่จะเป็นเครื่องแสดงถึงแนวพระราชดำรินี้ยังไม่ปรากฏ ก็สิ้นรัชกาลเสียก่อน
นอกจากนี้ยังมีแนวพระราชดำริอีกอย่างหนึ่งในการสร้างวัดคือ ทรงประสงค์สร้างพระวิหารพระศรีศากยมุนี ให้สูงเท่าวิหารวัดพระเจ้าพนัญเชิง กรุงศรีอยุธยา ด้วยเป็นที่นับถือกันว่าสมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นยุคที่เรียกได้ว่า “ครั้งบ้านเมืองยังดี” จากแนวพระราชดำรินี้ จึงได้เห็นการสร้างฐานพระวิหารหลวงให้สูงมากกว่าอาคารสถานที่อื่นๆ และการเสริมฐานบัลลังก์พระศรีศากยมุนีให้สูงกว่าบัลลังก์พระประธานวัดอื่นๆ ในสมัยนั้นด้วย ซึ่งก็สมด้วยพระราชดำริของพระองค์โดยแท้ พระราชดำริอีกอย่างหนึ่งก็คือ สถานที่ประดิษฐานพระศรีศากยมุนี ทรงมีพระราชประสงค์ให้เป็นพระอุโบสถ จึงปรากฏเอกสารโปรดให้ขุดรากและก่อฤกษ์พระอุโบสถ ในระยะเริ่มแรก (หมายรับสั่งรัชกาลที่ 1, หอสมุดแห่งชาติ, สมุดไทยดำ, อักษรไทย, ภาษาไทย, เส้นขาว, จ.ศ. 1169 เลขที่ 3, อ้างถึงใน จิรศักดิ์ แต่งเจนกิจ, 2541, น. 8 – 9) ด้วยในสมัยนั้นนิยมสร้างพระอุโบสถเป็นประธานของวัด แล้วค่อยสร้างเสนาสนะอย่างอื่นมีขนาดรองๆ ลงมา เช่น วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม วัดประจำรัชกาลในพระองค์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ครั้นถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ทรงพระราชดำริที่จะฉลองพระเดชพระคุณของสมเด็จพระบรมชนกาธิราช จึงมีพระราชดำรัสให้สร้างพระวิหารหลวงขึ้น แต่งานยังค้างอยู่ ได้เพียงตัวพระวิหารหลวงเท่านั้น แต่ยังไม่มี ช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ และส่วนอื่นๆ (ทิพากรวงศ์, เจ้าพระยา, พระราชพงศาวดาร กรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 2, 2504, น. 150) แนวพระราชดำริในการสร้างและการออกแบบในรัชสมัยนี้ จึงไม่ปรากฏชัดเจน ทราบเพียงว่าพระองค์ทรงสร้างต่อจากรัชกาลก่อนเท่านั้นเอง
ครั้นถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ทรงดำเนินงานที่ค้างจากรัชกาลก่อน ทรงสร้างพระวิหารหลวงจนสำเร็จ ทรงสร้างพระระเบียงล้อมรอบพระวิหารหลวง ทรงสร้างสัตตมหาสถาน ทรงสร้างพระอุโบสถ อันเป็นเขตพุทธาวาส ทรงสร้างศาลาการเปรียญ หอระฆัง หอไตร และหมู่กุฏิสงฆ์ อันเป็นเขตสังฆาวาส แล้วทรงทำการฉลองในปี พ.ศ. 2390 และพระราชทานนามว่า วัดสุทัศเทพธาราม (ทิพากรวงศ์มหาโกษาธิบดี, เจ้าพระยา, 2538, น. 143) จากการพระราชทานนามวัด อาจจะสันนิษฐานได้ว่า ทรงมุ่งหมายให้วัดเป็นสถานที่แทน “สุทัศนนคร” นครหลวงบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และองค์ประกอบที่สำคัญอื่นๆ ภายในวัดแทนองค์ประกอบที่สำคัญอื่นๆ ในบริบทของสุทัศนนคร นอกจากนี้หากพิจารณาจากสถานที่ตั้ง แนวพระราชนิยมด้านการก่อสร้างของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และองค์ประกอบทางศิลปกรรมทั้งด้านสถาปัตยกรรม ประติมากรรม และจิตรกรรมภายในวัด ข้อสันนิษฐานนี้จะยิ่งสมบูรณ์มากขึ้น เมื่อพิจารณาบริเวณพระนครชั้นใน (เกาะเมือง) จะเห็นว่าบริเวณสถานที่ตั้งของวัดสุทัศนเทพวราราม เป็นจุดเกือบกึ่งกลางพระนครพอดี ประกอบกับศาสนสถานภายในวัดจึงถือว่า พระอารามแห่งนี้เป็นพระอารามสำคัญประจำพระนคร และประจำแผ่นดิน ปรากฏในเอกสารหลายแห่ง เช่น ประวัติวัดสุทัศนเทพวราราม อ้างถึงหนังสือที่ 30/8617 เจ้าพระยาภาสกรวงศ์ กราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ความว่า “ด้วยพระวิหารหลวงพระศรีศากยมุนี วัดสุทัศนเทพวราราม ซึ่งเป็นเจดีย์ฐานอันใหญ่ในกลางพระนคร พระวิหารหลวงนี้เป็นปูชนียสถานสำหรับแผ่นดินแห่งหนึ่ง ซึ่งแผ่นดินจำเป็นจะต้องปฏิสังขรณ์ให้คงคืนดีขึ้นไว้ จะทอดทิ้งเหมือนอย่างพระอารามอื่นไม่ควร” (พระครูวิจิตรการโกศล (สงัด), 2516, น. 24)