ศิลปกรรมบริเวณพระวิหารหลวง

วัดสุทัศนเทพวราราม เริ่มวางศิลาฤกษ์พระวิหารหลวงในปี พ.ศ. 2350 ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สำเร็จเป็นพระอาราม และสมโภชใน พ.ศ. 2390 ในรัชกาลพระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รวมระยะเวลาในการก่อสร้าง 40 ปี ศิลปกรรมภายในวัดจึงเป็นศิลปกรรมของ 3 รัชกาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 และพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 โดยแบ่งศิลปกรรมตามกลุ่มของอาคารศาสนสถานเป็น 2 ส่วน คือ เขตพุทธาวาสและเขตสังฆาวาส ในเขตพุทธาวาสยังสามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ เขตพระวิหารหลวง และเขตพระอุโบสถ แม้จะไม่มีกำแพงคั่นเพื่อแยกออกจากกันอย่างชัดเจน แต่กระนั้นก็ดี ยังมีการสร้างพระระเบียงล้อมรอบพระวิหารหลวงแยกออกจากส่วนอื่นต่างหาก 

วัดสุทัศนเทพวราราม สามารถแบ่งได้เป็น ๒ ส่วน มีการเรียงลำดับความสำคัญของสถานที่จากทิศเหนือสู่ทิศใต้ ตามความสำคัญของผู้อยู่อาศัย โดยคณะใหญ่ 3 คณะอยู่ทางด้านทิศเหนือสุดของเขตสังฆาวาส เมื่อตำแหน่งเจ้าคณะของคณะใหญ่คณะใดคณะหนึ่งว่างลง เจ้าอาวาสจะแต่งตั้งโดยให้เลื่อนเจ้าคณะของคณะกลางหรือ คณะยาวทางด้านทิศใต้ขึ้นมาเป็นเจ้าคณะแทน แล้วแต่งตั้งเจ้าคณะแทนตำแหน่งเจ้าคณะที่ว่างนั้น การตกแต่งภายในของแต่ละคณะจะขึ้นอยู่กับเจ้าคณะนั้นๆ ผู้อยู่อาศัยย่อมสามารถจะทำได้ แต่ต้องรักษาสภาพภายนอกของแต่ละคณะไว้ ดังนั้น โครงสร้างและสภาพโดยรอบคณะแต่ละคณะจึงมีลักษณะเดียวกัน แต่การตกแต่งภายในอาจจะแตกต่างกันตามความเหมาะสมและความสามารถของผู้อยู่อาศัย 

แผนผังของวัดสุทัศนเทพวรารามคงจะมีความสมบูรณ์ในสมัยสร้างวัดเสร็จ และประกอบพิธีฉลองวัด ก่อนจะได้รับการแก้ไขในกาลต่อๆ มา เช่น ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดให้รื้อกุฏิบริเวณท้ายวัด (ด้านทิศใต้สุดของวัด ปัจจุบันเป็นตึกแถวอยู่บริเวณซอยสระสรงลงท่า) ซึ่งเป็นกุฏิวิปัสสนา (กุฏิวิปัสสนาตามหลักฐานมีอยู่ในพระอารามหลวง 3 แห่ง คือ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม วัดสุทัศนเทพวราราม และวัดสระเกศ โดยเป็นการจัดกุฏิพระสงฆ์ออกเป็น 2 ส่วนคือ กุฏิฝ่ายคันถธุระ และวิปัสสนาธุระ ปัจจุบันเหลือเพียงที่วัดสระเกศเท่านั้น) แล้วทรงให้สร้างตึกแถวแทน และในสมัยต่อมาเมื่อมีการตัดถนนตีทอง (ด้านทิศตะวันตกของวัด) และถนนอุณากรรณ (ด้านทิศตะวันออกของวัด) ก็มีการตัดถนนกิน พื้นที่เข้ามาในพื้นที่ของวัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณถนนอุณากรรณ ทำให้ภูมิทัศน์รอบสัตตมหาสถานเปลี่ยนแปลงไป โดยก่อนหน้านั้น บริเวณสัตตมหาสถานเป็นสถานที่ในการประกอบพิธีเวียนเทียนในวันสำคัญ ทางพระพุทธศาสนา ก่อนจะยกเลิกแล้วเปลี่ยนสถานที่ไปใช้พระวิหารหลวงเป็นสถานที่ในการประกอบพิธีเวียนเทียนแทนจนถึงปัจจุบัน (พระครูวิจิตรการโกศล (สงัด), 2516, น. 88) แผนผังวัดสุทัศนเทพวรารามที่คงเหลือในปัจจุบัน มีลักษณะทางสถาปัตยกรรม ประติมากรรม และจิตรกรรม โดยสังเขป ดังนี้

๑. สถาปัตยกรรมบริเวณพระวิหารหลวง

เขตพุทธาวาสวัดสุทัศนเทพวรารามอยู่บริเวณด้านทิศเหนือของวัด มีบริเวณเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ประกอบด้วยกลุ่มอาคารศาสนสถานแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ บริเวณพระวิหารหลวง (ประกอบด้วยกลุ่มอาคารที่อยู่ภายในบริเวณพระระเบียงคด) บริเวณพระอุโบสถ (ประกอบด้วยองค์ประกอบที่อยู่ภายในบริเวณกำแพงแก้ว) และบริเวณโดยรอบเขตพุทธาวาส (ประกอบด้วยกลุ่มอาคารศาลารายและสัตตมหาสถาน ซึ่งอยู่นอกเหนือจาก 2 บริเวณแรก)

๑) พระวิหารหลวง เป็นอาคารเครื่องก่อขนาด 5 ห้อง กว้าง 23.84 เมตร ยาว 26.25 เมตร โครงสร้างหลังคาเป็นจั่วมีหลังคาประธาน 1 ตับ มีชั้นซ้อน (หลังคามุข) ทางด้านหน้า และด้านหลังข้างละ 1 ชั้น และมีหลังคาปีกนกลาดลงจากหลังคาประธานข้างละ 3 ตับ หลังคามุขทางด้านหน้าและด้านหลังมีหลังคาปีกนกลาดลงข้างละ 2 ตับ มีเสารับมุขเป็นเสาสี่เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง จำนวน 12 ต้น ทั้งสองด้านรวม 24 ต้น และเสานางเรียงด้านข้าง ด้านละ 6 ต้น รวมทั้งหมดจึงเป็นเสา 36 ต้น เสานางเรียงและเสารับมุขหัวเสาเป็นปูนปั้นบัวแวงปิดทองประดับกระจกสี ชายคามีคันทวยรับเชิงชายหลังคาหัวเสาละ 1 ตัว ด้านละ 6 ตัว รวมทั้งหมด 4 ด้าน 24 ตัว แนวฝาผนังด้านนอกมีเสานางแนบด้านละ 6 ต้น มีบัวหัวเสาเช่นเดียวกับเสานางเรียง ฐานประทักษิณล้อมพระวิหาร 3 ชั้น คือ ชั้นบนสุดเริ่มจากฐานปัทม์ของพระวิหาร ถึงแนวเสานางเรียง เป็นที่ตั้งของพระวิหารทิศ 4 หลัง ฐานประทักษัณชั้นต่อมาเป็นที่ตั้งของถะจีนสร้างด้วยศิลารายรอบพระวิหารทั้ง 4 ด้าน จำนวน 28 ถะ ต่อลงมาเป็นลานประทักษิณชั้นล่างที่กว้างที่สุดไปจนถึงพระระเบียงคด ฐานประทักษิณแต่ละชั้นจะมีพนักกั้น มีช่องซุ้มสำหรับตามประทีปตลอดแนวพนักกั้นทุกชั้น ในเวลามีงานนักขัตฤกษ์หรือการเฉลิมฉลองตอนกลางคืนจะตามประทีปเทียนไฟตลอดแนวพนักกั้น

๒) พระวิหารทิศ ลักษณะเป็นศาลาหลังเล็กเปิดโล่งทั้ง 4 ด้าน รูปทรงเช่นเดียวกับพระวิหารแต่ไม่มีมุขเด็จหน้าหลัง ตั้งอยู่บริเวณลานประทักษิณด้านบนสุดก่อนเข้าสู่ตัวพระวิหารหลวง ประดิษฐานอยู่มุมเฉียงทั้ง ๔ ทิศ เป็นสถานที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางต่าง ๆ 

๓) พระระเบียงคด สร้างล้อมรอบพระวิหารหลวง ลักษณะเป็นอาคารทรงโรงก่อเป็นโถงยาววิ่งแล่นตลอด เปิดด้านโล่งสู่ลานประทักษิณชั้นล่างรอบพระวิหารหลวง ด้านนอกก่อเป็นกำแพงทึบตัน หลังคาทรงไทยโบราณ มีเฉลียงด้านใน 2 ลด ด้านนอก 1 ลด ห่าง จากกำแพงแก้วพระวิหารหลวง 13.70 เมตร ด้านทิศเหนือและทิศใต้กว้างด้านละ 89.60 เมตร ด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตกยาวด้านละ 98.87 เมตร ที่มุมพระระเบียงตัดกันเป็นผังรูปกากบาท ประกอบด้วยหน้าบัน 2 หน้า ช่อฟ้า 8 ตัว หางหงส์ 24 ตัว รวม 4 มุม หน้าบัน 8 หน้า ช่อฟ้า 32 ตัว หางหงส์ 96 ตัว ตรงกลางของพระระเบียงคดแต่ละด้านเป็นซุ้มประตูเข้าสู่พระวิหารหลวง แบ่งพื้นที่พระระเบียงออกเป็น 4 ส่วนลักษณะซุ้มประตูเป็นทรงจัตุรมุข มีหลังคาซ้อนกัน ประกอบด้วยหน้าบัน 2 หน้า ช่อฟ้า 8 ตัว หางหงส์ 24 ตัว รวม 4 ซุ้ม หน้าบัน 8 หน้า ช่อฟ้า 32 ตัว หางหงส์ 96 ตัว ระหว่างซุ้มประตูทำเป็นประติมากรรมเสาหินเครื่องศาสตราวุธศิลปะจีน ภายในพระระเบียงติดผนังที่ทึบตัน มีฐานก่อยกระดับขึ้นมาโดยรอบด้านล่างประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสำหรับเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นปิดทองปางสมาธิประทับนั่งบนบัลลังก์ฐานสิงห์ ตั้งเรียงรายอยู่รอบพระระเบียงคดจำนวน 156 องค์ ทุกองค์ประทับนั่งหันพระพักตร์เข้าหาตัวพระวิหารหลวง ยกเว้นบริเวณมุมทั้งสี่ด้านที่เป็นรูปกากบาท ทำเป็นคูหาประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัยไว้ตรงกลาง ขนาบข้างด้วยพระพุทธรูปปางสมาธิลักษณะคล้ายกับพระพุทธรูปโดยรอบพระระเบียงโดยรอบ เพียงแต่มีขนาดย่อมกว่า

๔) พระเจดีย์จีน (ถะจีน) ประดิษฐานรอบพระวิหารหลวง เป็นเจดีย์ศิลปะแบบจีนรายล้อมพระวิหารหลวง 28 องค์ เรียกว่า ถะรายพระวิหาร คำว่า “ถะ” เป็นเครื่องศิลาแบบจีนรูปแบบคล้ายอาคารหกเหลี่ยมซ้อนกันขึ้นไป 6 ชั้น แต่ละชั้นเป็นช่องโปร่งซึ่งเป็นลักษณะของเรือนไฟใช้ตามประทีป ถะรายพระวิหารมี 28 ถะ ตั้งอยู่บนพนักฐานพระวิหารชั้นที่ 2

๒. ประติมากรรมบริเวณพระวิหารหลวง

๑) พระศรีศากยมุนี พระประธานในพระวิหารหลวง เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยหล่อด้วยโลหะ หน้าตัก กว้าง 3 วา 1 คืบ สูง 4 วา ประทับนั่งขัดสมาธิราบ ครองจีวรห่มเฉียง ชายสังฆาฏิยาวจรดพระนาภี ปลายเป็นเขี้ยวตะขาบ พระพักตร์รูปไข่เกือบกลม มีพระรัศมีเป็นเปลวสูงตั้งอยู่บนพระอุษณีษ์ เม็ดพระศกเล็กขมวดเป็น รูปก้นหอยเวียนตามทักษิณาวรรต ระหว่างพระขนงมีพระอุณาโลมคั่น ประดิษฐานบนฐานชุกชีทรงดอกบัวประดับด้วยกระจกสี นิ้วพระหัตถ์ยาวเสมอกัน ลักษณะพระศรีศากยมุนีที่ปรากฏในปัจจุบัน ได้รับการหล่อแก้ไขในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ด้วยทรงเห็นว่าพุทธลักษณะไม่ตรงตามคัมภีร์ (พระครูวิจิตรการโกศล (สงัด), 2516, น. 7) พระศรีศายกมุนีจึงเป็นพระพุทธรูปหล่อสมัยสุโขทัย แต่ได้รับการหล่อแก้ไขในสมัยรัตนโกสินทร์ (กรมศิลปากร, สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์, 2545, น. 287)

๒) แผ่นศิลาจำหลักสมัยทวาราวดี แผ่นศิลาจำหลักนี้ สลักจากหินทรายติดประดับที่ฐานด้านหลังพระรัตนบัลลังก์ที่ประดิษฐานพระศรีศากยมุนี เป็นภาพสลักนูนต่ำปิดทอง ขนาดสูง ๒.๔๐ เมตร กว้าง ๐.๙๕ เมตร อยู่ในกรอบลายใบเทศ ปิดทองประดับกระจกทั้ง ๔ ด้าน ภาพศิลาสลักแผ่นนี้นับเป็นศิลปกรรมชิ้นเอกของวัดชิ้นหนึ่งมีอายุระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๒ – ๑๓ ศิลปะสมัยทวารวดีสันนิษฐานว่า อาจย้ายมาจากจังหวัดนครปฐม การสลักแบ่งภาพพระพุทธประวัติเป็น ๒ ตอน คือปางยมกปาฏิหาริย์และปางเทศนาโปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ภาพตอนล่างเป็นภาพพระพุทธประวัติ ปางยมกปาฏิหาริย์ ซึ่งเป็นภาพที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ตรงกลาง มีพระอินทร์และพระพรหม ยืนถือแส้อยู่ทั้งสองข้าง ใต้เบื้องพระยุคลบาทพระพุทธเจ้า มีดอกบัวขนาดใหญ่รองรับดอกบัวนี้ประคองอยู่โดยพระยานาคซึ่งมีร่างกายเป็นมนุษย์ แต่มีเศียรเป็นนาค ๗ เคียรแผ่พังพานอยู่เบื้องหลัง พระยานาคนี้สมมติว่าอยู่ใต้บาดาลอันเป็นสถานที่รองรับก้านบัวซึ่งเป็นแกนของมนุษยโลก ใต้บัลลังก์ด้านหนึ่งของพระองค์มีบรรดาเจ้านาย ซึ่งเสด็จมาแสดงความชื่นชมในปาฏิหาริย์ของพระพุทธองค์ และอีกด้านหนึ่งก็คือนักบวชที่พ่ายแพ้ นักบวชเหล่านี้ก็คือพวกดาบสเปลือยกายและดาบสเกล้าผมสูง ซึ่งไม่อาจจะต่อสู้กับอิทธิปาฏิหาริย์ของพระพุทธองค์ได้ เหนือนั้นขึ้นไปมีเหล่าเทวดากำลังประนมหัตถ์แสดงคารวะต่อพระพุทธองค์อยู่ด้วยความเคารพ เบื้องหลังบัลลังก์คือต้นมะม่วงที่เกิดจากปาฏิหาริย์ มีกิ่งก้านรองรับพระพุทธรูปปางต่างๆ พระพุทธรูปเหล่านี้แสดงปางด้วยพระหัตถ์ขวาหรือพระหัตถ์ซ้าย เพื่อให้ได้สัดส่วนกันเป็นคู่ๆ ภาพตอนบนขึ้นไปเป็นภาพพระพุทธประวัติ ปางเทศนาโปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งเป็นภาพที่พระพุทธเจ้ากำลังประทับบนบัลลังก์ในสวรรค์ มีพระอินทร์และพระพรหมยืนถือแส้อยู่ทั้งสองข้างเบื้องหลังทางด้านขวาของพระพุทธองค์ พระพุทธมารดากำลังประทับอยู่ ซึ่งช่างตั้งใจสลักให้มีลักษณะของสตรีเพศแตกต่างจากภาพอื่นอย่างชัดเจน แวดล้อมด้วยเทวดาองค์อื่นๆ จากสวรรค์ชั้นต่างๆ มาชุมนุมกัน เพื่อฟังพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมแด่พระพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์อยู่โดยรอบพุทธอาสน์

๓) พระพุทธรูปปางต่างๆ และพระปัญจวัคคีย์ในพระวิหารหลวง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ทรงพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หล่อพระพุทธรูปประจำสัตตมหาสถานในโรงหล่อหลวงด้วยเนื้อทองแดงขัดเกลี้ยงในพระบรมมหาราชวัง เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๘๗ เสร็จแล้วจึงทรงให้แห่พระมาประดิษฐานประจำสัตตมหาสถาน ณ วัดสุทัศนเทพวราราม (หมายรับสั่งรัชกาลที่ 3 หอสมุดแห่งชาติ, สมุดไทยดำ, อักษรไทย, ภาษาไทย, เส้นขาว, จ.ศ. 1208, เลขที่ 8 อ้างถึงใน จิรศักดิ์ แต่งเจนกิจ, 2541, น. 20; พระครูวิจิตรการโกศล (สงัด), 2516, น. 16) ประอบด้วยพระพุทธรูปปางต่างๆ ที่มีความเกี่ยวข้องด้วยกับเหตุการณ์ในพุทธประวัติ ตอนทรงเสวยวิมุตติสุขตลอด ๗ สัปดาห์ รวม ๔๙ วัน คือ ปางมารวิชัย ปางสมาธิ ปางทรงถวายเนตร ปางเสด็จจงกรม ปางทรงพิจารณาพระอภิธรรม ปางทรงห้ามธิดามาร ปางนาคปรก ปางทรงรับผลสมอ ต่อมาทางวัดกลัวว่าพระพุทธรูปเหล่านี้จะเป็นที่เพ่งเล็งของผู้ไม่หวังดี ด้วยเป็นพระพุทธรูปหล่อจากทางแดงขัดเกลี้ยง และเป็นงานช่างหลวง ถือเป็นโบราณวัตถุสำคัญของวัดและสมบัติของแผ่นดิน จึงได้ย้ายพระพุทธรูปเก่าเหล่านั้นมาประดิษฐานเก็บรักษาไว้ที่พระวิหารหลวง แล้วหล่อพระพุทธรูปขึ้นใหม่เพื่อประดิษฐานแทน ปัจจุบันปรากฏเพียง ๖ องค์ ขาดพระพุทธรูปปางสมาธิ และปางทรงห้ามธิดาพญามาร โดยไม่ปรากฏหลักฐานว่าเดิมมีเพียงเท่านี้ หรือว่าหายไปด้วยสาเหตุใด ตั้งแต่เมื่อใด สันนิษฐานว่า ทางวัดพิจารณาเห็นว่า ตามข้อความที่ปรากฏในพุทธประวัติ ควรจะมีพระพุทธรูปครบ ๘ องค์ จึงได้หล่อเพิ่มขึ้นเพื่อให้เต็มตามจำนวน หรืออาจจะพิจารณาเห็นว่า พระพุทธรูป ๒ องค์ดังกล่าว ได้หายไปแล้ว จึงได้ย้ายพระพุทธรูปที่เหลือมาเก็บรักษาไว้ แล้วให้หล่อพระพุทธรูปใหม่ขึ้นประดิษฐานแทน นอกจากนี้ยังมีรูปหล่อพระปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ คือ พระอัญญาโกณฑัญญเถระ พระวัปปเถระ พระภัททิยเถระ พระมหานามเถร และพระอัสสชิเถระ ซึ่งหล่อขึ้นในคราวเดียวกันกับพระพุทธรูปเหล่านั้น เดิมประดิษฐานอยู่ในบริเวณเดียวกันกับสัตตมหาสถาน โดยสมมติสถานที่อีกแห่งหนึ่งเป็นสถานที่แสดงพระปฐมเทศนา คือพระธรรมจักกัปปวัตตนสูตร มีพระพุทธรูปปางทรงแสดงพระปฐมเทศนา และรูปหล่อพระปัญจวัคคีย์ประดิษฐานอยู่ด้านหน้า ต่อมาจึงได้ย้ายรูปหล่อพระปัญจวัคคีย์เหล่านั้นมาประดิษฐานเก็บรักษาไว้ภายในพระวิหารหลวง แล้วหล่อใหม่ขึ้นประดิษฐานแทนในบริเวณเดิม

๔) พระพุทธรูปในพระวิหารทิศ พระวิหารทิศใช้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางต่างๆ ดังนี้ พระวิหารทิศด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ประดิษฐานพระพุทธรูปปางห้ามสมุทร และปางไสยาสน์ พระวิหารทิศด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ประดิษฐานพระพุทธรูปปางตื่นบรรทม และปางประทานพร พระวิหารทิศด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ ประดิษฐานพระพุทธรูปปางเสวยพระกระยาหารเช้า และปางห้ามสมุทร พระวิหารทิศด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ ประดิษฐานพระพุทธรูปปางทรงจีวร และปางห้ามสมุทร สวมศิราภรณ์ทรงเทริด

๕) หน้าบันพระวิหารหลวง พระวิหารทิศและพระระเบียงคด หน้าบันพระวิหารหลวงมี 2 ชั้น คือหน้าบันประธาน เป็นไม้จำหลักปิดทองประดับกระจกสีลายเครือเถาก้านแย่ง ฉากหลังเป็นก้านขดออกช่อเทพพนม ตรงกลางเป็นกรอบซุ้ม ภายในกรอบซุ้มมีรูปพระอินทร์ประทับอยู่ในเวชยันตรวิมานประดิษฐานอยู่เหนือกระพองช้างเอราวัณ หรือไอยราพต มีการแบ่งระดับการเน้นส่วนสำคัญของลวดลายเป็นสามระดับอยู่ภายในกรอบสามเหลี่ยม ส่วนหน้าบันมุขเด็จ มีรูปแบบคล้ายหน้าบันจั่วประธาน แต่ตรงกลางหน้าบันเป็นรูปพระนารายณ์ทรงสุบรรณในกรอบซุ้ม สาหร่ายรวงผึ้งเป็นลายเฟื้องอุบะ ปลายทำเป็นกนก 3 ตัว หน้าบันพระวิหารทิศ เป็นปูนปั้นลายดอกไม้และเครือเถา ส่วนหน้าบันด้านนอกและด้านในพระวิหารคด เป็นหน้าบันจำหลักไม้ลงรักปิดทองประดับกระจกสี เป็นลายพระนารายณ์ทรงสุบรรณอยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมคล้ายหน้าบันมุขเด็จพระวิหารหลวง ใต้ลายทำเป็นกระจังฐานพระ

๖) บานประตู และบานหน้าต่างพระวิหารหลวง บานประตูพระระเบียงคด ด้านหน้าและด้านหลังของพระวิหารหลวงมีประตูทางเข้าด้านละ 3 ช่อง ด้านข้างมีหน้าต่าง ด้านละ 5 ช่อง ซุ้มประตูและซุ้มหน้าต่างเป็นซุ้มบันแถลงที่ซ้อนกัน 2 ชั้น เป็นปูนปั้นปิดทองประดับกระจกสี บานประตูเป็นไม้แผ่นเดียวตลอดทั้งแผ่นขนาดกว้าง 1.30 เมตร สูง 5.64 เมตร หนา 0.16 เมตร จำหลักลายต้นพฤกษาที่สลักลึกมีกิ่งก้านเกาะเกี่ยวซ้อนกันอย่างงดงามเป็นศิลปกรรมฝีพระหัตถ์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ที่ทรงกำหนดลักษณะลายแบบ วิธีแกะสลักและทรงเริ่มจำหลักด้วยพระองค์เอง แล้วจึงโปรดเกล้าฯ ให้ช่างฝีมือแกะต่อ เป็นบานประตูที่งดงามหาที่เปรียบมิได้ น่าเสียดายที่ศิลปกรรมชิ้นนี้ได้รับความเสียหายจากอุบัติเหตุไฟไหม้บางส่วนเมื่อวันที่ 13 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2502 และปัจจุบันได้ย้ายไปเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร สมเด็จพระบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ ทรงกล่าวถึงความงดงามของบานประตูคู่นี้ไว้ว่า “…บานทวารวิหารพระศรีศากยมุนีเป็นลายสลักซับซ้อนกันหลายชั้น งามวิจิตรน่าพิศวงอย่างยิ่ง… ที่เรียกว่าแกะนั้นก็เป็นคำควร เพราะคว้านปรุซับซ้อนกันลงไปหลายชั้น ซึ่งจะใช้สิ่วอย่างเดียวไม่ได้ ต้องอาศัยคมมีดมาก เมื่อได้ลายแกะอันงามมาเช่นนี้ เป็นเหตุเตือนพระราชหฤทัยให้ทรงแกะสู้ เพราะพระองค์ทรงชำนาญในการแกะยิ่งนัก…” (นริศรานุวัดติวงศ์, สมเด็จพระบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยา, อ้างถึงใน วรรณิภา ณ สงขลา เรียบเรียง, 2531, น. 23) บานประตูไม้แกะสลักทั้งหมด 6 ประตู คือ ด้านหน้าพระวิหาร 3 ประตู ด้านหลังพระวิหาร 3 ประตู ประตูกลางทางด้านหลังนี้เป็นบานประตูไม้ลายรดน้ำ รูปพันธุ์พฤกษา บานประตูนี้สร้างขึ้นใหม่แทนของเดิมที่ย้ายไปติดด้านหน้า บริเวณด้านข้างของผนังพระวิหารหลวง มีซุ้มหน้าต่างทรงเรือนแก้ว ด้านละ 5 ซุ้ม ลวดลายบานหน้าต่างเดิมเป็นลวดลายจำหลักรูปแก้วชิงดวงปิดทองประดับกระจกสี ได้รับการแก้ไขในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 โดยทำเป็นลวดลายปูนน้ำมันปั้นปิดทองคำเปลวรูปต้นไม้ เขามอ และสัตว์ป่าปิดลายแก้วชิงดวง ส่วนบานประตูพระวิหารคด เป็นบานไม้ขนาดใหญ่ มีลายรดน้ำรูปเซี่ยวกาง (ทวารบาล) ยืนบนหลังกิเลน เชิงบานเป็นภาพสัตว์หิมพานต์ เช่น นรมฤค กินรี ราชสีห์ คชสีห์ นกหัสดี นกเทศ เหมราช ภาพหลังบานประตูเป็นภาพเขียนสีน้ำมันรูปตัวละครในเรื่องรามเกียรติ์

๗) ประติมากรรมรูปม้าสำริด ประติมากรรมรูปม้าประดับบริเวณมุมพระวิหารหลวง บริเวณลานประทักษิณชั้นที่ 2 และชั้นล่างของพระวิหารหลวง ประติมากรรมรูปม้าหล่อด้วยสำริด ตั้งประจำมุมละ 1 ตัว รวม 2 ชั้น 8 ตัว ม้าเหล่านี้หล่อเมื่อ พ.ศ. 2389 จำนวน 2 ตัว อีก 6 ตัว หล่อขึ้นในภายหลัง

๘) ศิลาเก๋งจีน (ไพชยนต์ปราสาท) เครื่องศิลาสลักรูปเก๋งจีน ประดับอยู่ที่ลานประทักษิณชั้นล่างด้านหน้าพระวิหารหลวง มีลักษณะเป็นปราสาทแบบจีน ตั้งอยู่บนตั่งขาสิงห์ ล้อมรอบด้วยตุ๊กตารูปสัตว์ ฉากหลังเป็นเขามอ เครื่องสลักศิลาชุดนี้ เดิมตั้งอยู่บนลานประทักษิณชั้นบนย้ายลงมาตั้งบนลานประทักษิณชั้นล่างในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 เพราะทรงเห็นว่าตั้งบดบังความงดงามของพระศรีศากยมุนี ในบริเวณเดียวกันยังมีเขาพระสุเมรุ และป่าหิมพานต์ตั้งอยู่บนลานประทักษิณพระวิหารหลวง

๙) ประติมากรรมหินแกะสลักประดับบริเวณพระวิหารหลวง บริเวณข้างประตูด้านในพระวิหารหลวงทั้ง ๔ ทิศ มีประติมากรรมอาวุธต่างๆ ประดิษฐานอยู่ ประติมากรรมเหล่านี้เป็นศิลปะจีนสลักจากหินทราย สันนิษฐานว่า นำเข้ามาพร้อมกับเครื่องอับเฉาอื่นๆ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ การนำศาสตาวุธเหล่านี้มาประดิษฐานไว้ที่ด้านข้างประตู น่าจะมีความหมายแทนเทพทวารบาล คำว่า “ทวารบาล” มาจากคำว่า “ทวาร” ที่แปลว่า “ประตู” และ “บาล” ซึ่งแปลว่า “รักษา ปกครอง” ทวารบาล จึงมีความหมายว่า “ผู้รักษาประตู” ซึ่งจากคำแปล ก่อให้เกิดการตีความต่อประติมากรรมประเภททวารบาลว่าคือ รูปของสัตว์ อสูร เทพ เทวดา และมนุษย์ หรือสิ่งมีชีวิตใดๆก็ตาม ที่ตั้งอยู่บริเวณบานประตู ช่องทางผ่านเข้าออก ช่องหน้าต่าง หรือราวบันได ตามธรรมเนียมนิยมของประชาชนในแถบประเทศอินโดจีน โดยความเชื่อที่ว่า “ทวารบาล” เป็นด่านหน้าสุดของอาคาร บ้านเรือน ที่จะต้อนรับขับสู้ ทั้งแขกผู้มาเยือนและมิใช่แขก ทวารบาลเป็นประตูธรรมดาทั่วๆ ไปหรืออาจเป็นมากกว่านั้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผู้ที่เป็นเจ้าของว่ามีฐานันดรศักดิ์เป็นเช่นไร แต่โดยมากแล้วทวารบาลนิยมกันในศาสนสถานและพระราชวังเท่านั้น ทวารบาลมีคติที่ว่า เป็นผู้ปกปักรักษาคุ้มครอง ที่ด้านข้างด้านในประตูพระวิหารหลวงทั้ง ๔ ด้าน ปรากฏเป็นอาวุธ ๔ คู่ ๘ ชิ้นคือ ง้าว ๑ คู่ ที่ประตูด้านทิศเหนือ ค้อน ๑ คู่ ที่ประตูด้านทิศตะวันออก ทวน ๑ คู่ ที่ประตูทิศใต้ และขวานศึก ๑ คู่ ที่ประตูด้านทิศตะวันตก ศาตราวุธเหล่านี้ปรากฏอยู่ใน ๑๘ ศาสตราวุธโบราณของจีน คือ ๙ อาวุธยาว ได้แก่ ทวน ทวนวงเดือน พลอง ขวานศึก สามง่าม คราดหัวง่าม ตะขอ หอก ง้าว และ ๙ อาวุธสั้น ได้แก่ ดาบ กระบี่ ไม้เท้า ขวาน แส้เหล็ก เหล็กท่อน ค้อน กระบองสั้น สาก โดยศาสตราวุธ ๔ ชนิดที่เลือกมาประดิษฐานที่พระวิหารนั้น นับว่าเป็นอาวุธที่สำคัญ 

๑๐) ภูเขาสิเนรุจำลอง (เขามอ) ชั้นล่างด้านหลังไพชยนต์ปราสาท เป็นภูเขาที่สลักจากศิลาจีน มีรูปฤๅษีและสัตว์ที่สลักศิลาเช่นกัน ประกอบอยู่โดยรอบ สมมุติเป็นเขาพระสุเมรุที่เป็นศูนย์จักรวาล เขาลูกนี้เดิมเป็นฉากสำหรับแสดงโขนกลางแปลงในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 เมื่อพระองค์เสด็จสวรรคตแล้ว พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ได้ถวายแก่พระอารามแห่งนี้เพื่อเทียบให้เห็นคติแห่งจักรวาลของพระวิหารหลวง

๑๑) พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร รัชกาลที่ 8 ประดิษฐานบริเวณลานประทักษิณชั้นล่าง มุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือของพระวิหารหลวง พระบรมรูปหล่อด้วยสำริด ประทับยืน ขนาดเท่าพระองค์จริง ด้วยวัดสุทัศนเทพวรารามเป็นพระอารามประจำรัชกาลที่ 8 เพราะทรงมีความเกี่ยวข้องกับวัด คือ เมื่อคราวเสด็จนิวัติพระนครครั้งแรก ได้เสด็จมาที่พระอารามนี้และทรงพระราชปรารภว่า สถานที่วัดสุทัศน์ฯ ร่มเย็นน่าอยู่ และเมื่อทรงประกอบพิธีแสดงพระองค์เป็นพุทธมามกะ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (ติสสเทวมหาเถร) สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ทรงเป็นพุทธมามกจารย์และถวายพระโอวาท เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นั้นเสด็จสวรรคตแล้ว พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ ผู้ทรงเป็นพระบรมอนุชาธิราช ทรงพระอนุสรณ์ถึงสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บรรจุพระบรมราชสรีรางคารพระบรมเชษฐาธิราชเจ้าไว้ ณ ผ้าทิพย์ เบื้องหน้าฐานชุกชีพระศรีศากยมุนี (พระประธานในพระวิหารหลวง) และทรงให้หล่อพระบรมราชานุสาวรีย์ประดิษฐานถวายไว้ ณ บริเวณพระวิหารหลวงวัดสุทัศนเทพวรารามนี้

๓. จิตรกรรมบริเวณพระวิหารหลวง

งานจิตรกรรมของวัดสุทัศนเทพวราราม บางส่วนได้รับการเขียนขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 แต่จิตรกรรมโดยส่วนมากได้รับการวาดขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 และได้รับการบูรณะซ่อมแซมในรัชกาลต่อๆ มา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการซ่อมแซมใหญ่ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ดังที่ คงเดช ประภาทอง กล่าวว่า “จิตรกรรมวัดสุทัศน์ฯ แสดงถึงอิทธิพลของตะวันตกอย่างมากและชัดเจน ภาพวาดบางภาพคงเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 2 (พ.ศ. 2352 – 2367) แต่ส่วนใหญ่น่าจะเกิดขึ้นตอนปลายสมัยรัชกาลที่ 3 (พ.ศ. 2367 – 2394) มากกว่าตอนต้นรัชสมัย” (กุลพันธาดา จันทร์โพธิ์ศรี และคณะ กองบรรณาธิการ, 2528, น. 89) และ นักวิชาการอีกท่านหนึ่งกล่าวว่า “ภาพเขียนที่ในวิหารวัดสุทัศน์เทพวราราม เข้าใจว่าเริ่มเขียนในสมัยรัชกาลที่ 2 ว่ากันโดยลักษณะของภาพแลวิธีการเขียนอาจเสร็จลงในรัชกาลที่ 3 ก็ได้ สำหรับที่โบสถ์นั้นเขียนในรัชกาลที่ 3 แน่นอน เพราะลักษณะการเขียนและฝีมือความคิดต่างกันไกล ที่วิหาร คติ ความคิด ทั้งวิธีการเขียนแตกต่างกันไกลกับที่โบสถ์เขียนกันคนละรุ่น” (เฟื้อ หริพิทักษ์ และ อนันต์ วิริยะพินิจ, 2531, น. 42) ดังนั้น จึงเป็นอันสรุปได้ว่า งานจิตรกรรมวัดสุทัศนเทพวรารามเป็นฝีมือของช่างหลายยุคและหลายคนหลายรุ่น จึงมีระดับฝีมือช่างไม่เท่าเทียมกัน ภาพจิตรกรรมทั้งหมดถูกวาดลงบนผนังพระอุโบสถและพระวิหารหลวง รวมถึงศาสนสถานในบริเวณเขตพุทธาวาส โดยมีรายละเอียดของเนื้อหา ดังนี้

งานจิตรกรรมภายในพระวิหารหลวง เป็นงานจิตรกรรมที่มุ่งส่งเสริมความหมายของสถานที่ หรือมุ่งส่งเสริมความหมายของงานสถาปัตยกรรมและประติมากรรมให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะลำพังงานด้านสถาปัตยกรรมและประติมากรรม ไม่อาจสื่อความหมายมากมาย หรือชัดเจนนัก เพราะเป็นงานใหญ่ แต่ใส่รายละเอียดได้น้อยกว่างานจิตรกรรม รวมทั้งไม่อาจเขียนคำอธิบายในงานสถาปัตยกรรมและประติมากรรมด้วยเหตุนี้ งานจิตรกรรมจึงมีส่วนเข้าไปเติมเต็มความบกพร่องส่วนนี้ เพื่อให้สถาปัตยกรรมและประติมากรรมสามารถสื่อความหมายตามที่ผู้สร้างสรรค์งานปรารถนาอย่างแท้จริง และสมบูรณ์มากขึ้น งานจิตรกรรมในพระวิหารหลวง บริเวณคอสองและเสาในประธาน เป็นการแสดงแนวคิดความเชื่อเรื่องไตรภูมิโลกสัณฐาน แสดงบริเวณนับแต่เขาพระสุเมรุลงมาจนถึงอบายภูมิ 4 ตามหลักทางภูมิศาสตร์ของจักรวาลตามแนวคิดทางพระพุทธศาสนาเถรวาท ซึ่งมีปรากฏในวรรณกรรมเรื่องไตรภูมิกถา พระราชนิพนธ์ในพระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไท) ภาพจิตรกรรมส่วนนี้สามารถแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ โลกสวรรค์ (เฉพาะสวรรค์ชั้นจาตุมมหาราชิกาและดาวดึงส์) โลกมนุษย์ และโลกของอบายภูมิ 4 การแสดงรายละเอียดของสถานที่ทั้ง 3 ส่วน ผู้เขียนได้ใส่รายละเอียดบางส่วนแทนสถานที่เหล่านั้น เพราะข้อจำกัดของพื้นที่ในการเขียน จึงไม่อาจใส่ข้อมูลได้ทั้งหมด 

รายละเอียดของงานจิตรกรรมทั้ง 3 ส่วน มีปรากฏดังนี้ คือ โลกสวรรค์มีรายละเอียดเกี่ยวกับวิมานของพระอินทร์และสถานที่สำคัญบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ รวมถึงเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ด้วย เหตุการณ์สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ อสูรยกทัพขึ้นไปรบกับท้าวจาตุมมหาราช หลังจากนั้นจึงยกพลขึ้นไปรบกับพระอินทร์ เป็นต้น อันเป็นการกล่าวถึงรายละเอียดของสวรรค์ชั้นจาตุมมหาราชิกา ในฐานะเป็นสถานที่อยู่ของท้าวจาตุมมหาราชผู้พิทักษ์เขาพระสุเมรุรวมเข้าไปด้วย ส่วนโลกมนุษย์และโลกอบายภูมิ 4 มีเนื้อหาที่ค่อนข้างมาก ดังนั้น ผู้เขียนจึงได้เลือกเหตุการณ์เรื่องใดเรื่องหนึ่งที่เคยมีปรากฏในวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา เช่น ชาดก นิทาน วรรณกรรมพื้นบ้าน มาเป็นเครื่องหมายให้รู้ถึงสถานที่เหล่านั้นตามหลักทางภูมิศาสตร์ โดยไม่ให้เสียความหมายทางด้านภูมิศาสตร์ 

ประเด็นที่สำคัญคือ ภายใต้เงื่อนไขดังกล่าว ผู้เขียนหรือผู้ควบคุมการเขียนภาพมีหลักการอย่างไรหรือมีความมุ่งหมายอย่างไรในการเลือกเรื่องที่จะนำมาเขียน และโดยความเชื่อที่ว่าผู้เขียนภาพนั้นมีความเข้าใจหรือมีแรงบันดาลใจจากไตรภูมิกถา และไตรภูมิโลกวินิจฉยกถา โดยเฉพาะในไตรภูมิโลกวินิจฉยกถานั้น เป็น สถานที่รวมเรื่องราวที่ปรากฏในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาต่างๆ มารวมไว้เพื่อแสดงภูมิทั้ง 3 และแสดงถึงเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับภูมิเหล่านั้น เรื่องราวที่ปรากฏในไตรภูมิโลกวินิจฉยกถาอันแสดงถึงความเกี่ยวข้องกับสถานที่ตามหลักภูมิศาสตร์ที่ผู้เขียนต้องการแสดงมีหลายด้านมีหลายเรื่อง และแต่ละเรื่องก็มีความมุ่งหมายต่างกัน หากเพียงแค่เลือกเรื่องใดก็ได้ โดยไม่มีความมุ่งหมายอื่นแอบแฝงไว้ เพียงแค่ทำให้ความหมายตามหลักทางภูมิศาสตร์บริบูรณ์เท่านั้น ผู้วาดคงไม่ต้องคัดเรื่องที่เด่นที่สุด ซึ่งบางเรื่องเป็นเรื่องที่มีที่มาจากคัมภีร์ชั้นหลัง หรือเป็นเพียงเรื่องเล่า เช่น เรื่องสุธนชาดก จากปัญญาสชาดก เป็นชาดกเรื่องเดียวที่นำมาจากปัญญาสชาดก เพื่อแสดงถึงสถานที่คือเขาไกรลาสตามหลักทางภูมิศาสตร์ ถ้าเพียงแค่ต้องการสื่อถึงสถานที่คือเขาไกรลาสเท่านั้น ผู้เขียนอาจจะใช้เรื่องอื่นที่เป็นเรื่องมาในคัมภีร์พระไตรปิฎกก็ได้ เพราะเรื่องชาดกในพระไตรปิฎกอันเป็นที่มาของข้อมูลหลักก็มีเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับเขาไกรลาสด้วยเช่นกัน 

อนึ่ง โลกสัณฐานตอนว่าด้วยเรื่องพระอาทิตย์และว่าด้วยเรื่องพระจันทร์ ก็ไม่ปรากฏเหมือนงานจิตรกรรมที่เคยมีมาแล้ว งานจิตรกรรมก่อนหน้านั้น ถ้าจะวาดจิตรกรรมที่สื่อถึงรูปพระอาทิตย์และพระจันทร์ จะวาดรูปพระอาทิตย์และพระจันทร์เป็นเทพบุตรนั่งบนราชรถ มีราชสีห์เทียมรถสำหรับพระอาทิตย์และมีม้าสินธพเทียมรถสำหรับพระจันทร์ หรือวาดรูปวงกลมสีแดงมีรูปนกยูงอยู่ภายในแทนรูปพระอาทิตย์ และวาดรูป วงกลมสีขาวมีรูปกระต่ายอยู่ภายในแทนพระจันทร์ (เนื้ออ่อน ขรัวทองเขียว, 2548, 87 – 89) แต่ในงานจิตรกรรมของวัดสุทัศนเทพวราราม ผู้เขียนได้วาดรูปชวนหงส์บินแข่งพระอาทิตย์ อันเป็นเรื่องที่มีปรากฏในชวนหังสชาดก แทนรูปพระอาทิตย์ และวาดรูปอสุรินทราหูจับพระจันทร์ อันเป็นเรื่องที่มีปรากฏในไตรภูมิกถา แทนรูปพระจันทร์ จึงน่าจะเชื่อได้ว่านอกเหนือจากการอธิบายสถานที่ตามหลักไตรภูมิ ผู้วาดต้องมีจุดมุ่งหมายอื่นแอบแฝงแน่นอน ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องวิเคราะห์ต่อไป 

จากการนำแนวคิดเรื่องไตรภูมิโลกสัณฐานมาเป็นแนวคิด หลักในการเขียนงานจิตรกรรมภายในพระวิหารหลวงวัดสุทัศนเทพวราราม ผู้เขียนหรือผู้ควบคุมการเขียนควรต้องเป็นผู้มีความชำนาญเชี่ยวชาญในวรรณกรรมเรื่องไตรภูมิกถาเป็นอย่างดี หรืออย่างน้อยที่สุดก็ควรต้องเคยศึกษาถึงแนวคิดหรือเนื้อหาที่อยู่ในวรรณกรรมดังกล่าว ภายใต้เงื่อนไขของการแบ่งจิตรกรรมเป็น 3 ส่วน คือโลกสวรรค์ โลกมนุษย์ และโลกอบายภูมิ 4 เนื้อหาในส่วนที่เกี่ยวกับโลกมนุษย์มีเนื้อหามากที่สุด โดยเน้นเรื่องพระเจ้าจักรพรรดิราชมากที่สุด มีเนื้อหาเกินครึ่งหนึ่งของเนื้อหาโลกมนุษย์ สืบเนื่องจากพระมหากษัตริย์ เป็นผู้สร้างวัดสุทัศนเทพวราราม และทรงเป็นผู้ดูแลการสร้างสรรค์งานศิลปกรรมในทุกด้าน งานศิลปกรรมที่สร้างขึ้นนอกเหนือจากเหตุผลหลักด้านอื่นๆ ยังเป็นการแสดงศิลปกรรมแก่ประชาชนผู้เป็นไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินของพระองค์ด้วย ดังนั้น พระมหากษัตริย์ผู้สร้างโดยเฉพาะอย่างยิ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงน่าจะทรงเอาอย่างพระเจ้าจักรพรรดิราชในไตรภูมิกถาในเรื่องของการสั่งสมบุญบารมี และการสั่งสอนประชาชนไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินด้วย ดังปรากฏเรื่องทำนองนี้ในงานศิลปกรรมในวัดต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องการให้ความรู้ การสั่งสอนประชาชน และการให้แนวคิดในการครองชีวิต เช่น จารึกตำราในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม 

จิตรกรรมบริเวณพระวิหารหลวงแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ บริเวณผนังอาคารพระวิหารหลวง บริเวณต้นเสาและคอสองในประธานในพระวิหารหลวง และจิตรกรรมอื่นๆ การแบ่งงานจิตรกรรมออกเป็น 3 ส่วนนี้ แบ่งตามลักษณะเนื้อหาของจิตรกรรมเป็นหลัก เพราะแต่ละส่วนจะมีเนื้อหาที่แตกต่างกันในภาคย่อย แต่สัมพันธ์กันในภาครวม ดังนี้

) จิตรกรรมฝาผนังพระวิหารหลวง (พระอตีตพุทธประวัติ) ผนังอาคารพระวิหารหลวงวาดเรื่องราวพระประวัติของพระพุทธเจ้าที่เคยเสด็จมาตรัสรู้แล้ว 27 พระองค์ โดยวาดที่ฝาผนังตั้งแต่แนวเส้นลวดใต้ขอบหน้าต่างขึ้นไปจนจรดฝ้าเพดานปีกนก เป็นภาพเขียนเรื่องต่อเนื่องกันเต็มผนังทุกด้าน แต่สามารถแยกพระประวัติของแต่ละพระองค์ได้จากการสังเกตลักษณะของกลุ่มอาคารและมีเส้นลำน้ำกั้นระหว่างภาพพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ และในที่เชิงผนัง มีแผ่นศิลาจารึกพรรณนาพระประวัติของพระพุทธเจ้ากำกับไว้ทุกตอน ลักษณะการวาดภาพนั้นจะวาดภาพพระพุทธเจ้าเป็นประธานของภาพ โดยวาดไว้ตรงกลางและแสดงให้ดูเด่นที่สุด ส่วนภาพประกอบอื่นจะมีขนาดรองลงไป และ แสดงกิริยาอาการอยู่รายล้อมรูปประธาน 

การวาดภาพพระประวัติพระอดีตพุทธเจ้าจำนวน 27 พระองค์นี้ ผู้เขียนคงมุ่งวาดพระอดีตพุทธเจ้าที่มีพระประวัติเกี่ยวเนื่องด้านใดด้านหนึ่งกับพระพุทธเจ้าศากยมุนี พระองค์ปัจจุบันโดยนับย้อนหลัง 4 อสงไขย แสนกัป เริ่มแต่พระโพธิสัตว์ (พระศากยมุนีพุทธเจ้า) ทรงได้รับพุทธพยากรณ์ว่าจะได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เหตุการณ์เกิดขึ้นในพุทธสมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่าทีปังกร ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ที่ 4 ในจำนวน 27 พระองค์แต่ที่นับเป็น 27 พระองค์โดยไม่เริ่มวาดแต่พระทีปังกรพุทธเจ้า เพราะนับถอยไปถึงพระพุทธเจ้าในกัปนั้นทั้งหมด รวมทั้งพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนนั้นก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้านการบำเพ็ญกุศลของพระโพธิสัตว์ (พระศากยมุนีพุทธเจ้า) ด้วยเพียงแต่ยังไม่ได้รับพุทธพยากรณ์ จนกระทั่งถึงพุทธสมัยพระทีปังกรพุทธเจ้า จึงทรงได้รับพุทธพยากรณ์ว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 

ลักษณะการจัดระเบียบภาพวาดนั้น ใช้ลักษณะการเวียนรอบพระประธานพระวิหารหลวงโดยทักษิณาวรรต คือ เริ่มพระประวัติพระอดีตพุทธเจ้าพระองค์ที่ 1 – 6 ที่ผนังอาคารด้านหน้าพระประธานพระองค์ที่ 7 – 14 ที่ผนังด้านขวามือของพระประธาน พระองค์ที่ 15 – 20 ที่ผนังด้านหลังพระประธาน และพระองค์ที่ 21 – 27 ที่ผนังด้านซ้ายมือของพระประธาน นอกจากนี้หากพิจารณาในรายละเอียดของผนังแต่ละด้านแล้ว ยังมีลักษณะของการเวียนแบบทักษิณาวรรตอีกด้วย โดยเฉพาะผนังด้านหน้าและด้านหลังพระประธานมีการจัดระเบียบการวาดเป็นพิเศษ ดูเหมือนช่างภาพประสงค์จะเน้นให้เห็นความพิเศษของพระอดีตพุทธเจ้าพระองค์ที่ 4 และพระองค์ที่ 18 จึงได้เจาะจงที่จะวาดไว้ตรงกลางผนังพอดี ความพิเศษของพระองค์ที่ 4 คือ เหตุการณ์ที่พระศากยมุนีพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นสุเมธดาบสและได้ปรารถนาพระโพธิญาณเป็นครั้งแรก ส่วนพระองค์ที่ 18 คือพระศากยมุนีพุทธเจ้าทรงเสวยพระชาติเป็นพระอินทร์ ซึ่งมีความสัมพันธ์สอดคล้องกับความสำคัญของศาสนสถานที่สมมติให้เป็นสุทัสสนนคร นครหลวงบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์พอดี

รายพระนามพระอดีตพุทธเจ้าจำนวน 27 พระองค์ และเหตุการณ์ที่เกี่ยวเนื่องกับพระศากยมุนีพุทธเจ้า

ที่พระนามพระอดีตพุทธเจ้าการบำเพ็ญพระบารมีและได้รับการพยากรณ์ของพระศากยมุนีพุทธเจ้า
1พระตัณหังกรพุทธเจ้าพญาสุทัศนจักรพรรดิสร้างมณฑปแก้ว 7 ประการ พระวิหาร และเสนาสนะ ถวายพระพุทธเจ้า แล้วเสด็จออกบวชในพระศาสนา
2พระเมธังกรพุทธเจ้าโสรมนัศพราหมณ์ สร้างมณฑปแก้ว 7 ประการ พระวิหาร และเสนาสนะ ถวายพระพุทธเจ้า แล้วเสด็จออกบวชในพระศาสนา
3พระสรณังกรพุทธเจ้ายศวาพราหมณ์ สร้างมณฑปแก้ว 7 ประการ พระวิหาร และเสนาสนะ ถวายพระพุทธเจ้า แล้วเสด็จออกบวชในพระศาสนา
4พระทีปังกรพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่าสุเมธดาบสจะได้เป็นพระโคดมพุทธเจ้า
5พระโกณฑัญญพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่าพญาวิชิตาวีบรมจักรพรรดิจะได้เป็นพระโคดมพุทธเจ้า
6พระมังคลพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่าสุรุจิพราหมณ์จะได้เป็นพระโคดมพุทธเจ้า
7พระสุมนพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่าพญาอตุลนาคราชจะได้เป็นพระโคดมพุทธเจ้า
8พระเรวตพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่าอติเทวพราหมณ์จะได้เป็นพระโคดมพุทธเจ้า
9พระโสภิตพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่าสุชาติพราหมณ์จะได้เป็นพระโคดมพุทธเจ้า
10พระอโนมทัสสีพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่ายักษเสนาบดีจะได้เป็นพระโคดมพุทธเจ้า
11พระปทุมพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่าพญาไกรสรราชสีห์จะได้เป็นพระโคดมพุทธเจ้า
12พระนารทพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่าวสิยดาบสจะได้เป็นพระโคดมพุทธเจ้า
13พระปทุมุตรพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่ารัฏฐิกชฏิลจะได้เป็นพระโคดมพุทธเจ้า
14พระสุเมธพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่าอุตตรมานพจะได้เป็นพระโคดมพุทธเจ้า
15พระสุชาตพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่าพญาจาตุทิปกบรมจักรจะได้เป็นพระโคดมพุทธเจ้า
16พระปัยทัสสีพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่ากัสสปพราหมณ์จะได้เป็นพระโคดมพุทธเจ้า
17พระอัตถทัสสีพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่าสุสิมะชฎิลจะได้เป็นพระโคดมพุทธเจ้า
18พระธัมมทัสสีพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่าพระอินทร์จะได้เป็นพระโคดมพุทธเจ้า
19พระสิทธัตถพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่ามงคลดาบสจะได้เป็นพระโคดมพุทธเจ้า
20พระติสสพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่าสุชาตดาบสจะได้เป็นพระโคดมพุทธเจ้า
21พระปุสสพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่าพญาวิชิตะจะได้เป็นพระโคดมพุทธเจ้า
22พระวิปัสสีพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่าอตุลนาคราชจะได้เป็นพระโคดมพุทธเจ้า
23พระสิขีพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่าอรินทมมหาราชจะได้เป็นพระโคดมพุทธเจ้า
24พระเวสสภูพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่าสุทัศนราชจะได้เป็นพระโคดมพุทธเจ้า
25พระกกุสันธพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่าจ้าวเขมราชจะได้เป็นพระโคดมพุทธเจ้า
26พระโกนาคมนพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่าพญาบรรพตราชจะได้เป็นพระโคดมพุทธเจ้า
27พระกัสสปพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่าโชติบาลพราหมณ์จะได้เป็นพระโคดมพุทธเจ้า

๒) จิตรกรรมบริเวณต้นเสาและคอสองในประธานในพระวิหารหลวง (ไตรภูมิโลกสัณฐาน) จิตรกรรมบนต้นเสาในพระวิหารหลวงวัดสุทัศนเทพวราราม เขียนแต่เชิงเสาเหนือพื้นพระวิหารหลวงประมาณ 1 เมตร ไปจนจรดเพดาน เขียนเต็มพื้นที่ต้นเสาทั้ง 4 ด้าน จำนวน 8 ต้น จิตรกรรมบนผนังของต้นเสาแต่ละต้น เขียนเล่าเรื่องราวโลกสัณฐาน แสดงลักษณะและองค์ประกอบทางกายภาพของจักรวาลตามแนวคิดทางพระพุทธศาสนาเถรวาท สวนยอดของต้นเสาแต่ละต้น แสดงองค์ประกอบของเขาพระสุเมรุและเขาบริวาร ส่วนเชิงเสาของเสาแต่ละต้นแสดงองค์ประกอบของจักรวาลส่วนต่างๆ ซึ่งมีตำแหน่งทางภูมิศาสตร์อยู่ใต้แกนเขาพระสุเมรุ และเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสถานที่เหล่านั้น รวมทั้งชาดกเรื่องต่างๆ ซึ่งคัดมาจากชาดกในนิบาตบ้าง นอกนิบาตบ้างปะปนกันไป นอกจากนี้ยังมีนิทานพื้นบ้าน วรรณกรรม เรื่องเล่าอื่นๆ แทรกเข้ามาด้วย วรรณิภา ณ สงขลา (2534, น. 42 – 44) กล่าวไว้ มีจำนวน 22 เรื่อง แต่จากการค้นคว้า เพิ่มเติมจากศิลาจารึกพบว่า มีชาดกบางเรื่องที่ไมได้กล่าวถึงนอกเหนือจาก 22 เรื่องนั้น ซึ่งมีจำนวนเพิ่มเข้ามาอีก 8 เรื่อง รวมเป็นชาดกทั้งหมด 30 เรื่อง 

รายชื่อชาดกที่ปรากฏในภาพจิตรกรรมบริเวณต้นเสา

ภายในพระวิหารหลวงวัดสุทัศนเทพวราราม

ที่เรื่องที่มา
1กุลาวกชาดกขุททกนิกาย ชาดก เอกนิบาต
2ทธิวาหนชาดกขุททกนิกาย ชาดก ทุกนิบาต
3กากชาดกขุททกนิกาย ชาดก เอกนิบาต
4สุปารกชาดกขุททกนิกาย ชาดก เอกาทสนิบาต
5กุณาลชาดกขุททกนิกาย ชาดก อสีตินิบาต
6สังขพราหมณ์ชาดกขุททกนิกาย ชาดก ทสกนิบาต
7มหาชนกชาดกขุททกนิกาย ชาดก มหานิบาต
8มิตตวินทุกชาดกขุททกนิกาย ชาดก ปัญจกนิบาต
9ทัพพปุบผชาดกขุททกนิกาย ชาดก สัตตกนิบาต
10กุมภิลชาดกขุททกนิกาย ชาดก ทุกนิบาต
11คุณชาดกขุททกนิกาย ชาดก ทุกนิบาต
12ฆตบัณฑิตชาดกขุททกนิกาย ชาดก ทสกนิบาต
13ลฑุกิกชาดกขุททกนิกาย ชาดก ปญจกนิบาต
14อุลุกชาดกขุททกนิกาย ชาดก ติกนิบาต
15มิตตวินทุกชาดกขุททกนิกาย ชาดก เอกนิบาต
16สุธนชาดกขุททกนิกาย ชาดก ปัญญาสชาดก
17สมุททวาณิชชาดกขุททกนิกาย ชาดก ทวาทสนิบาต
18กากาติชาดกขุททกนิกาย ชาดก จตุกกนิบาต
19สุสันธีชาดกขุททกนิกาย ชาดก ปัญจกนิบาต
20นฬปานกชาดกขุททกนิกาย ชาดก เอกนิบาต
21เทวธรรมชาดกขุททกนิกาย ชาดก เอกนิบาต
22กักกฏชาดกขุททกนิกาย ชาดก ติกนิบาต
23มุสิกชาดกขุททกนิกาย ชาดก เอกนิบาต
24มันธาตุราชชาดกขุททกนิกาย ชาดก ติกนิบาต
25วัฑฒกิสูกรชาดกขุททกนิกาย ชาดก ติกนิบาต
26สัพพทาฐชาดกขุททกนิกาย ชาดก ทุกนิบาต
27ชวนหังสชาดกขุททกนิกาย ชาดก เตรสนิบาต
28ตัจฉกสูกรชาดกขุททกนิกาย ชาดก ปกิณณกนิบาต
29วานรินทชาดกขุททกนิกาย ชาดก เอกนิบาต
30วานรชาดกขุททกนิกาย ชาดก จตุกกนิบาต

จิตรกรรมบริเวณคอสองในประธานในพระวิหารหลวง แต่ละด้านเขียนเป็นรูปวิมานของเทวดาตามด้านยาวของผนังในลักษณะอากาสัฏฐวิมาน ด้านละ 14 หลัง รวม 2 ด้าน จำนวน 28 หลัง พื้นที่บริเวณตรงกลางคอสองด้านทิศตะวันออกเขียนเป็นภาพพุทธประวัติ ตอนพระพุทธเจ้าทรงแสดงพระอภิธรรมโปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ สวนพื้นที่บริเวณเดียวกันด้านทิศตะวันตก เขียนเป็นภาพพระจุฬามณีเจดีย์ซึ่งประดิษฐานบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ 

๓) จิตรกรรมประดับเหนือกรอบบานประตูและหน้าต่างพระวิหารหลวง (สัตว์หิมพานต์) จิตรกรรมที่พระวิหารหลวงวัดสุทัศนเทพวรารามนอกจากที่เขียนตามผนังอาคาร ต้นเสา และคอสองในประธานแล้ว ยังมีภาพจิตรกรรมอื่นๆ อีกด้วย คือ ภาพที่หลังบานหน้าต่าง หลังบานประตู ที่บานแผละประตูและหน้าต่าง ภาพประดับเหนือกรอบประตูและหน้าต่าง รวมถึงภาพเขียนบริเวณผนังพระระเบียงคด 

ภาพที่หลังบานประตูมีจำนวน 5 บาน คือ ด้านหน้า 3 บาน ด้านหลัง 2 บาน (ส่วนบานประตูกลางด้านหลัง เขียนลายดอกไม้ เป็นภาพใหม่) เป็นภาพเทวดาทรงเครื่องศาสตราต่างๆ นักวิชาการสันนิษฐานว่า เป็นภาพเขียนสมัยรัชกาลที่ 2 (วรรณิภา ณ สงขลา เรียบเรียง, 2531, น. 49) ส่วนภาพที่หลังบานหน้าต่าง เป็นภาพเทพทวารบาล เป็นภาพเขียนสีฝุ่น เขียนเป็นรูปเทพต่างๆ จำนวน 20 องค์

รายนามเทพทวารบาลพร้อมด้วยพาหนะทรง 

ภาพจิตรกรรมด้านหลังบานหน้าต่าง ภายในพระวิหารหลวงวัดสุทัศนเทพวราราม

ด้านทิศตะวันออกด้านทิศตะวันตก
ที่ชื่อเทพทวารบาลพาหนะชื่อเทพทวารบาลพาหนะ
1พระอาทิตย์ราชสีห์พระอินทร์ช้างเอราวัณ
2พระจันทร์ม้าพระอัคนีแรด
3พระอังคารกระบือพระนารายณ์ครุฑ
4พระพุธช้างพระยมโค
5พระพฤหัสบดีกวางพระวรุณนาค
6พระศุกร์โคพระกุเวรม้า
7พระเสาร์เสือพระธตรฐม้า
8พระราหูครุฑพระอิศวรโค
9พระเกตุมนุษย์พระกาฬนกฮูก
10พระจักรียักษ์พระอิศวรปลากราย

จิตรกรรมที่บานแผละประตู และหน้าต่าง เป็นภาพการตั้งเครื่องบูชาอย่างจีน ซึ่งมีลักษณะต่างๆ กัน ปัจจุบันชำรุดแล้วเป็นส่วนมาก ภาพประดับเหนือกรอบประตูและหน้าต่าง เป็นภาพสัตว์หิมพานต์เขียนด้วยสีฝุ่นบนผ้า แล้วใส่กรอบประดับไว้เหนือบานประตูและหน้าต่างด้านในช่องละ 3 ภาพ ช่องกลางมีขนาดสูงกว่าด้านข้างเล็กน้อย เหนือช่องประตูจำนวน 6 ช่อง เหนือช่องหน้าต่างจำนวน 10 ช่อง รวมมีภาพ 48 ภาพ แต่สูญหายไปแล้ว 2 ภาพ ปัจจุบันเหลือเพียง 46 ภาพ 

รายชื่อภาพสัตว์หิมพานต์ในกรอบเหนือบานประตูและหน้าต่างพระวิหารหลวงวัดสุทัศนเทพวราราม

รายละเอียดใน อนันต์ กลิ่นโพธิ์กลับ อ้างถึงใน “การศึกษาการออกแบบและคติสัญลักษณ์ในกรณีของงานสถาปัตยกรรม วัดสุทัศนเทพวราราม” โดย จิรศักดิ์ แต่งเจนกิจ, 2541, น. 86.

เหนือกรอบประตูด้านทิศเหนือ (ด้านหน้าพระวิหารหลวง)
ไกรสรราชสีห์ ทักทอไกรสรจำแลง
เกสรสิงหะ สินธพนัทธีและวารีกุญชรบัณฑุราชสีห์
สางแปลง คชสีห์โลโต
เหนือกรอบประตูด้านทิศใต้ (ด้านหลังพระวิหารหลวง)
สิงโตจีน ม้าวลาหกกาฬราชสีห์
ติณราชสีห์ (สูญหาย)งายใส
กิหมี (สูญหาย)กิเลนจีน
เหนือกรอบหน้าต่างด้านทิศตะวันออก
นกหัสดีนกเทษสิงหพานรกินนรอสูรวายุภักษ์
โตเทพอัสดรเหมราชกิเลนปีกกิเลนไกรสรนาคา
พยัคฆปักษานกอินทรีมยุรคนธรรพ์นรสิงห์มารีส
เหนือกรอบหน้าต่างด้านทิศตะวันตก
สกุณเหรากระบิลปักษานกทัณฑิมาครุฑจับนาคหงส์
มังกรวิหกโตเทพสิงฆนัสสิงห์สกุณไกรสรโลโต
สินธุปักษามัจฉานุนกการวิกสุบัณเหราจับนาคนาคปักษิณ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *